เอาชนะ “เสียงในหัว” เคล็ดลับจิตวิทยาในเกมกอล์ฟ (Overcoming Self-Doubt)

เอาชนะ “เสียงในหัว” เคล็ดลับจิตวิทยาในเกมกอล์ฟ (Overcoming Self-Doubt)

เคยไหมครับ ยืนอยู่หน้าลูกกอล์ฟในช็อตสำคัญ แล้วในหัวก็มีเสียงแว่วมาว่า “พลาดแน่ๆ” หรือ “เดี๋ยวก็ตีไม่ดีอีก”

ความรู้สึกนี้เรียกว่า “ความสงสัยในตัวเอง” (Self-Doubt) และมันคืออุปสรรคทางจิตใจที่ร้ายกาจที่สุดในสนามกอล์ฟ มันไม่ใช่ความกลัว แต่อาจเป็นต้นเหตุของความกลัว มันคือความไม่แน่ใจในความสามารถของตัวเอง

ในหนังสือ The Inner Game of Golf ทิโมธี กัลล์เวย์ อธิบายว่า ปัญหาหลักในการตีกอล์ฟไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่อยู่ที่ “เกมภายใน” (Inner Game) ที่เกิดขึ้นในหัวของเรานี่เอง

วิดีโอแนะนำ

เสียงในหัวที่ชื่อ Self 1

เสียงในหัวที่ชื่อ “Self 1”

เราทุกคนมีตัวตนสองส่วนอยู่ในตัวเอง

  • Self 1 (ตัวตนที่ 1): คือ “เสียงในหัว” ที่คอยพูด คอยวิจารณ์ คอยสั่งการ และคอยตัดสินเราตลอดเวลา มันคือตัวตนที่ชอบพูดว่า “ตีห่วยจัง” “ทำไมทำแบบนั้น” “ต้องเกร็งกว่านี้”
  • Self 2 (ตัวตนที่ 2): คือ “ร่างกาย” หรือ “สัญชาตญาณ” ของเรา มันคือส่วนที่รู้วิธีตี รู้วิธีเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ

ความสงสัยในตัวเอง เกิดจาก Self 1 ที่ไม่ไว้ใจ Self 2

ข่าวดีก็คือ “ความสงสัย” เป็นสิ่งที่ถูกเรียนรู้มาทีหลัง เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับมัน ลองนึกถึงตอนเราเป็นเด็กหัดเดิน เราแค่ล้มแล้วก็ลุกขึ้นเดินต่อ เราไม่เคยสงสัยว่าตัวเองจะเดินไม่ได้ แต่พอเราโตขึ้น เราเริ่มเรียนรู้ที่จะสงสัยในตัวเอง

กับดักของ การพยายามมากเกินไป

กับดักของ “การพยายามมากเกินไป”

เมื่อ Self 1 เริ่มสงสัยในความสามารถของเรา มันจะสั่งให้เรา “พยายามมากขึ้น” (Trying Harder)

เราคิดว่าเราต้องพยายามบังคับร่างกาย ต้องเกร็ง ต้องควบคุมทุกอย่างให้เป๊ะ แต่การ “พยายาม” นี่แหละที่สร้างปัญหา การพยายามที่เกิดจากความสงสัยจะนำไปสู่ “ความเกร็ง” (Overtightness) และความเกร็งนี่เองที่ทำลายวงสวิงที่เป็นธรรมชาติของเรา

เรามักจะ “พยายาม” ในรูปแบบที่ผิดๆ 5 อย่างในสนามกอล์ฟ ซึ่งทั้งหมดเกิดจากความสงสัยในตัวเอง:

  • 1. พยายามตีให้โดน: เกิดจากความกลัวในระดับพื้นฐานว่าจะตีวืด หรือตีไม่โดนลูก
  • 2. พยายามตีให้ลอย: เกิดจากความไม่เชื่อว่าหน้าไม้จะ “งัด” ลูกให้ลอยได้เอง เราเลยพยายาม “ตัก” หรือ “งัด” ลูกด้วยตัวเอง
  • 3. พยายามตีให้ไกล: เรา equate (เท่ากับ) ความไกลกับการใช้แรง เราจึง “อัด” ลูกเต็มแรง ใช้กล้ามเนื้อมากเกินไปจนวงสวิงเสีย
  • 4. พยายามตีให้ตรง: เราพยายาม “บังคับ” หรือ “คัดท้าย” (Steering) ลูกให้ตรงเป้าหมาย ซึ่งทำให้เสียจังหวะธรรมชาติ
  • 5. พยายามตีให้ “ถูกท่า”: นี่คือข้อที่อันตรายที่สุด เราคิดถึงทฤษฎีวงสวิงมากเกินไป “ต้องอย่างนั้น” “ห้ามอย่างนี้” จนร่างกายไม่เป็นอิสระ
ทำยังไงเมื่อ เสียงในหัว ดังขึ้น

ทำยังไงเมื่อ “เสียงในหัว” ดังขึ้น

การเอาชนะความสงสัยในตัวเอง ไม่ใช่การพยายามคิดบวกสู้ แต่คือการ “ปล่อยวาง” การควบคุมของ Self 1 และหันมา “เชื่อใจ” Self 2 (ร่างกาย) มากขึ้น

ขั้นตอนที่ 1: แยกแยะเสียงในหัว สิ่งแรกที่ต้องทำคือการตระหนักรู้ว่า “เสียงที่กำลังวิจารณ์เราอยู่นั้น… ไม่ใช่ตัวเรา” มันเป็นแค่ความคิดที่ลอยเข้ามาเหมือนก้อนเมฆ การที่เรา “ได้ยิน” มัน แปลว่าเราไม่ใช่ “มัน”

ขั้นตอนที่ 2: ไม่ต้องไปเชื่อมัน (Doubt the Doubt) เมื่อเรารู้แล้วว่ามันเป็นแค่เสียง เราก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อมันทุกเรื่อง ลองจินตนาการว่าถ้ามีคนมายืนบ่นข้างๆ หูเราตลอดเวลาว่าเราห่วยแค่ไหน เราคงเดินหนีไปนานแล้ว แต่พอเป็นเสียงในหัวตัวเอง เรากลับยอมเชื่อง่ายๆ

ขั้นตอนที่ 3: ใช้เทคนิค “เชื่อมโยงกับเรื่องง่าย” (Easy Link) นี่คือเทคนิคที่ได้ผลมาก บ่อยครั้งที่สมองเราเชื่อมโยงช็อตยากๆ (เช่น การพัตต์ไกล) เข้ากับ “ความล้มเหลวในอดีต” ทำให้เราเกร็ง

การนึกถึงความรู้สึก “ง่าย” นี้ จะช่วยหลอก Self 1 ให้หยุดทำงานชั่วคราว และปลดปล่อยให้ Self 2 (ร่างกาย) ทำงานอย่างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น

บทสรุป

ความสงสัยในตัวเองเป็นเพียงความคิด ไม่ใช่ความจริง อย่าปล่อยให้ “เสียงในหัว” มาทำลายเกมของคุณ

ครั้งต่อไปที่ยืนอยู่หน้าลูก ให้ลองหายใจลึกๆ รับรู้ถึงเสียงวิจารณ์ของ Self 1 ยิ้มให้มัน แล้วเลือกที่จะ “เชื่อใจ” ร่างกาย (Self 2) ของคุณ ปล่อยให้มันสวิงอย่างเป็นอิสระ คุณอาจจะแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ครับ

รีวิวละเอียด ก้านไดรเวอร์ Graphite Design Tour AD GC: “Game Changer” ตัวจริงหรือเปล่า?

รีวิวละเอียด ก้านไดรเวอร์ Graphite Design Tour AD GC: “Game Changer” ตัวจริงหรือเปล่า?

เมื่อพูดถึงก้านไม้กอล์ฟระดับพรีเมียม ชื่อของ Graphite Design จากประเทศญี่ปุ่นมักจะเป็นชื่อแรกๆ ที่นักกอล์ฟนึกถึง ด้วยชื่อเสียงด้านคุณภาพและประสิทธิภาพที่โปรทั่วโลกให้การยอมรับ

ล่าสุดในปี 2024-2025 นี้ พวกเขาได้เปิดตัวก้านรุ่นใหม่ในซีรีส์ Tour AD ที่โด่งดัง นั่นคือ Tour AD GC ซึ่งชื่อ “GC” นั้นย่อมาจาก “Game Changer” หรือ “ผู้เปลี่ยนเกม” แค่ชื่อก็บอกแล้วว่านี่ไม่ใช่ก้านธรรมดาๆ

แล้วอะไรที่ทำให้ก้านไม้กอล์ฟรุ่นนี้พิเศษจนกล้าตั้งชื่อแบบนี้? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุม ตั้งแต่หน้าตาสุดเท่ ไปจนถึงความรู้สึกและผลงานในสนาม ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุด เพื่อตอบคำถามว่ามันคือ “Game Changer” ตัวจริงหรือไม่

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดของก้านรุ่นนี้ คือความขัดแย้งกันระหว่าง “ความรู้สึก” ตอนสวิง กับ “ผลลัพธ์” ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นปริศนาที่ทำให้นักกอล์ฟหลายคนต้องประหลาดใจ

แรกเห็นก็สะดุดตา: ดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร

สิ่งแรกที่ทำให้ Tour AD GC โดดเด่นคือดีไซน์และสีสันที่สวยงาม ก้านรุ่นนี้มาในสี “ขาวมุก ตัดกับสีบรอนซ์และส้ม” (pearl white with bronze and orange accents) ซึ่งดูสดใสและทันสมัยมากๆ

ตัวก้านสีขาวมุกจะเปล่งประกายเมื่อโดนแสงแดดในสนาม ทำให้ดูพรีเมียมและแตกต่างจากก้านส่วนใหญ่ในตลาด การออกแบบนี้ถือเป็นการกลับไปสู่สไตล์สีสันสดใสที่เป็นเอกลักษณ์ของ Graphite Design ในอดีต แต่ก็ยังคงความทันสมัยเอาไว้ได้อย่างลงตัว

แค่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือก้านไม้กอล์ฟจากแบรนด์ระดับท็อป ไม่ใช่แค่เครื่องมือสำหรับตี แต่เป็นอุปกรณ์กีฬาที่บ่งบอกถึงรสนิยมและคุณภาพได้เป็นอย่างดี

ความรู้สึกที่น่าประหลาดใจ: ฟีลลิ่งสวนทางกับผลลัพธ์

นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Tour AD GC แตกต่างจากก้านอื่นๆ นั่นคือความรู้สึกตอนสวิงที่อาจจะหลอกเราได้

ข้อมูลทางการ

ตามสเปกจากโรงงาน Graphite Design ระบุว่าก้านรุ่นนี้มีความแข็งไล่ระดับจากโคนไปปลายคือ แข็ง (Stiff) ที่โคน, เฟิร์ม (Firm) ตรงกลาง, และเฟิร์มมาก (Firm+) ที่ปลาย พูดง่ายๆ คือมันถูกออกแบบมาให้มีความเสถียรสูงมาก โดยเฉพาะส่วนปลายที่ใกล้กับหัวไม้ เพื่อป้องกันการบิดตัวและให้ความแม่นยำสูงสุด

ความรู้สึกจริงๆ ตอนใช้งาน

แต่สิ่งที่นักกอล์ฟที่ได้ทดลองใช้รู้สึกกลับแตกต่างออกไป แม้ว่าปลายก้านจะถูกระบุว่าแข็งมาก (Firm+) แต่หลายคนกลับรู้สึกว่ามันมีการ “ดีด” และ “ให้ตัว” ได้อย่างน่าประหลาดใจ

ความรู้สึกตอนสวิงจะเหมือนกับว่าก้านมีความ “หน่วง” (laggy) เล็กน้อยในช่วงท็อปสวิง ก่อนที่จะ “ดีด” (active kick) อย่างรวดเร็วตอนเข้าปะทะลูก ซึ่งความรู้สึกดีดนี้จะสัมผัสได้ชัดเจนบริเวณปลายก้าน

มีคนเปรียบเทียบความรู้สึกนี้ไว้อย่างเห็นภาพว่า “เหมือนกับตอนเล่นเกม Mario Kart ที่เราเหยียบคันเร่งรอตอนนับถอยหลัง พอถึงเลข 2 ก็พุ่งทะยานออกไป” มันคือฟีลลิ่งที่ให้ความรู้สึกถึงพลังและการปลดปล่อยพลังงานที่ชัดเจน

การออกแบบที่ให้ความรู้สึกดีดและนุ่มนวล แต่ภายในยังคงความเสถียรไว้อย่างเต็มเปี่ยมนี้ ไม่ใช่ข้อผิดพลาด แต่เป็นความตั้งใจของผู้ผลิต ก้านที่แข็งทื่ออาจจะเสถียรจริง แต่ก็อาจให้ความรู้สึกเหมือนตีด้วยท่อนไม้สำหรับนักกอล์ฟทั่วไป แต่ Tour AD GC สร้างความรู้สึกที่ทรงพลังและสนุกสนานในการสวิง ในขณะที่ผลลัพธ์ยังคงแม่นยำ นี่คือการทำให้ประสิทธิภาพระดับโปรเข้าถึงง่ายและรู้สึกดีสำหรับนักกอล์ฟสมัครเล่น

ผลงานในสนาม: ลูกกอล์ฟพุ่งไปแบบไหน?

เมื่อความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมารวมกับเทคโนโลยีขั้นสูง ผลลัพธ์ที่ได้ในสนามจึงน่าประทับใจอย่างมาก

วิถีลูกและสปิน

ก้าน Tour AD GC ถูกออกแบบมาเพื่อให้วิถีลูกลอยปานกลาง (Mid Launch) และมีอัตราสปินในระดับ ต่ำถึงปานกลาง (Low/Mid to Mid Spin)

อธิบายง่ายๆ คือ ลูกกอล์ฟจะไม่ลอยโด่งจนเกินไปจนเสียระยะ และก็ไม่พุ่งต่ำจนเกินไปจนตกแล้วไม่วิ่ง เป็นวิถีลูกที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างทรงพลัง (penetrating) ซึ่งควบคุมได้ง่ายและสู้ลมได้ดีมาก นักทดสอบคนหนึ่งบรรยายวิถีลูกว่าเป็น “วิถีที่เรียบและน่าเบื่อ” ซึ่งในกีฬากอล์ฟถือเป็นคำชมอย่างสูงสุด เพราะมันหมายถึงความแน่นอนนั่นเอง

ความสม่ำเสมอและการให้อภัย

นี่คือจุดที่ประสิทธิภาพที่แท้จริงของก้านนี้ฉายแววออกมา แม้จะให้ความรู้สึกดีด แต่ผลลัพธ์กลับนิ่งและเสถียรอย่างไม่น่าเชื่อ

  • นักทดสอบพบว่าช็อตส่วนใหญ่จะพุ่งตรงหรือดรอว์เล็กน้อยอย่างสม่ำเสมอ
  • ก้านมีความเสถียรสูงมาก แม้ในช็อตที่ตีพลาดกลางหน้าไม้ จะไม่รู้สึกว่าหัวไม้บิดหรือเปิด-ปิดในมือ ทำให้ทิศทางของลูกยังคงตรงอย่างน่าทึ่ง
  • แม้แต่ “ช็อตที่แย่ที่สุด ก็ยังคงพอเล่นต่อไปได้” ทำให้เราไม่เจอปัญหาใหญ่ในสนาม

เข้าได้กับทุกสไตล์วงสวิง

Tour AD GC เป็นก้านที่ปรับตัวเข้ากับผู้เล่นได้หลากหลาย มันทำงานได้ดีกับนักกอล์ฟที่มีจังหวะสวิงนุ่มนวล และในขณะเดียวกันก็สามารถรองรับวงสวิงที่ดุดันและรวดเร็วได้ดีเช่นกัน แม้ว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจะมาจากการลดความแรงลงเล็กน้อย ไม่ใช่การเหยียบเบรกจนสุด แต่เป็นการ “ไม่เหยียบคันเร่งมิดทะลุสี่แยก”

เมื่อเปรียบเทียบกับก้านรุ่นอื่นในตระกูล Tour AD จะเห็นภาพชัดขึ้น รุ่น Tour AD CQ จะค่อนข้างไวต่อจังหวะสวิง เหมาะกับคนที่สวิงได้สม่ำเสมอเหมือนหุ่นยนต์ ในขณะที่ Tour AD GC สามารถ “รับมือได้ทั้งสวิงที่ดีและสวิงที่ผิดพลาด” ได้ดีกว่า ส่วนรุ่น Tour AD VF จะให้วิถีลูกที่ต่ำกว่าและอาจต้องการความเร็วสวิงที่สูงกว่า สิ่งนี้ทำให้ Tour AD GC กลายเป็นก้านที่สมดุล ให้อภัย และเข้าถึงง่ายที่สุดในไลน์อัพปัจจุบัน เหมาะกับนักกอล์ฟในวงกว้าง

เบื้องหลังความสุดยอด: เทคโนโลยีข้างในมีอะไรบ้าง?

ความรู้สึกและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมนี้เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีและวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์คุณภาพสูงระดับเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ

  • AD SHIELD (เกราะป้องกันการบิดตัว): นี่คือเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ใช้ชั้นคาร์บอนไฟเบอร์แบบพิเศษพันรอบตัวก้าน ลองนึกภาพว่ามันคือเกราะที่ซ่อนอยู่ข้างใน คอยป้องกันไม่ให้ก้านบิดหรือเสียรูปทรงในขณะที่สวิงอย่างรุนแรง นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ก้านเสถียรมากแม้ตีพลาดจุดปะทะ
  • TORAYCA® M40X (แกนกลางที่นุ่มและแข็งแกร่ง): เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ขั้นสูงที่ใช้ในส่วนโคนของก้าน (บริเวณด้ามจับ) คุณสมบัติพิเศษของมันคือทำให้ส่วนโคนมีความแข็งแรง ควบคุมง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวล ไม่กระด้าง
  • TORAYCA® T1100G (ปลายที่เสถียรและตอบสนอง): เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่แข็งแรงและมีราคาสูงมาก ถูกนำมาใช้ในส่วนปลายของก้าน วัสดุนี้คือสิ่งที่ทำให้ปลายก้านมีความเสถียรสูงสุด ช่วยให้หน้าไม้กลับมาสแควร์ตอนปะทะลูกได้อย่างแม่นยำ โดยไม่สูญเสีย “ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม” อันเป็นเอกลักษณ์ของ Graphite Design ไป

การผสมผสานเทคโนโลยีทั้งสามอย่างนี้เผยให้เห็นเป้าหมายการออกแบบที่ชัดเจน นั่นคือการสร้าง “ความเสถียรที่มาพร้อมกับความนุ่มนวล” (Stable Smoothness) ในยุคที่ผู้ผลิตหลายรายมุ่งเน้นไปที่ความเสถียรจนก้านรู้สึกแข็งกระด้าง Graphite Design ได้พิสูจน์ผ่าน Tour AD GC ว่านักกอล์ฟไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างความเสถียรและความรู้สึกอีกต่อไป

เจาะลึกโปรไฟล์ความแข็ง (EI Profile): วิทยาศาสตร์เบื้องหลังฟีลลิ่ง

นอกเหนือจากคำอธิบายและเทคโนโลยีวัสดุแล้ว “ลายแทงความแข็ง” หรือที่เรียกว่า EI Profile คือสิ่งที่เปิดเผยความลับเบื้องหลังประสิทธิภาพของก้าน Tour AD GC ได้อย่างชัดเจนที่สุด มันคือแผนภูมิที่แสดงให้เห็นว่าก้านมีความแข็งหรือนุ่ม ณ จุดใดบ้างตลอดความยาว ตั้งแต่โคนจรดปลาย

เมื่อดูที่กราฟ EI Profile ของ Tour AD GC เราจะเห็นเรื่องราวที่น่าสนใจซึ่งสอดคล้องกับความรู้สึกและผลลัพธ์ที่นักกอล์ฟสัมผัสได้จริง:

  • โคนก้าน (Butt Section): กราฟเริ่มต้นที่ฝั่งขวาด้วยค่าความแข็งที่สูงมาก แสดงว่าส่วนโคนก้าน (ด้ามจับ) ถูกออกแบบมาให้แข็งแกร่ง เพื่อให้ความรู้สึกที่มั่นคงและควบคุมได้ดีสำหรับนักกอล์ฟที่มีวงสวิงเร็วและดุดัน
  • กลางก้าน (Mid Section): จากนั้นเส้นกราฟจะค่อยๆ ลดระดับลงมาจนถึงจุดที่อ่อนที่สุดบริเวณกลางก้าน นี่คือ “หัวใจ” ที่สร้างความรู้สึก “หน่วง” และ “ดีด” ที่เป็นเอกลักษณ์ของก้านรุ่นนี้ ส่วนที่นุ่มลงนี้ช่วยให้ก้านสามารถสะสมพลังงานในช่วงดาวน์สวิงและปลดปล่อยออกมาได้อย่างเต็มที่ตอนปะทะลูก
  • ปลายก้าน (Tip Section): จุดที่น่าทึ่งที่สุดคือช่วงปลาย กราฟจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าปลายก้านมีความแข็งมาก (Firm+) ซึ่งนี่คือเคล็ดลับที่ทำให้ก้านมีความเสถียรและให้อภัยสูง แม้ว่ากลางก้านจะให้ความรู้สึกดีด แต่ปลายที่แข็งมากจะคอยควบคุมไม่ให้หัวไม้บิดหรือสะบัด ทำให้หน้าไม้กลับมาสแควร์ได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ลูกพุ่งตรงและสม่ำเสมอ

โปรไฟล์ลักษณะนี้ช่วยไขปริศนาที่ว่า “ทำไมก้านที่ให้ความรู้สึกดีดและนุ่มนวล ถึงให้ผลลัพธ์ที่เสถียรและแน่นอน” ได้เป็นอย่างดี มันคือการออกแบบเชิงวิศวกรรมที่จงใจสร้างส่วนที่อ่อนนุ่มเพื่อสร้าง “ฟีลลิ่ง” และสร้างส่วนที่แข็งแกร่งเพื่อสร้าง “ผลลัพธ์” ที่ยอดเยี่ยมนั่นเอง

สรุปข้อดี-ข้อเสียของ Tour AD GC

เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจน ลองมาดูข้อดีและข้อเสียของก้านรุ่นนี้กัน

ข้อดี (Pros):

  • เสถียรและให้อภัยสูงมาก: ลูกกอล์ฟตรงอย่างสม่ำเสมอ แม้ตีพลาดกลางหน้าไม้
  • ฟีลลิ่งดีดและนุ่มนวล: ให้ความรู้สึกดีดตัวของก้านที่ทรงพลัง แต่ยังคงความนุ่มนวลอันเป็นเอกลักษณ์ของ Graphite Design
  • เหมาะกับนักกอล์ฟหลากหลาย: ใช้ได้ดีกับคนที่มีจังหวะสวิงทั้งแบบนุ่มนวลและค่อนข้างเร็ว
  • วิถีลูกพุ่งดีเยี่ยม: ให้วิถีลูกลอยปานกลาง สปินไม่สูงเกินไป ทำให้ลูกสู้ลมได้ดีและตกแล้ววิ่ง
  • ดีไซน์สวยงามพรีเมียม: สีขาวมุกตัดกับสีบรอนซ์ดูโดดเด่นและหรูหรา

ข้อเสีย (Cons):

  • ฟีลลิ่งอาจไม่คุ้นเคย: ความรู้สึกที่ปลายก้านดีดตัวอาจทำให้นักกอล์ฟบางคนที่ชอบฟีลลิ่งแข็งทื่อรู้สึกไม่คุ้นเคยในช่วงแรก
  • ราคาสูง: เป็นก้านไม้กอล์ฟระดับพรีเมียม ทำให้มีราคาสูงกว่าก้านทั่วไปในตลาด โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ $379 – $500
  • อาจไม่เหมาะกับคนที่ต้องการสปินต่ำสุดๆ: แม้จะเป็นก้านสปินต่ำ-ปานกลาง แต่ก็อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้เล่นที่ต้องการลดสปินให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ก้านนี้เหมาะกับใคร?

จากข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่า Tour AD GC เหมาะสำหรับนักกอล์ฟกลุ่มต่อไปนี้

  • นักกอล์ฟที่ต้องการความสมดุล: ผู้เล่นที่กำลังมองหาจุดลงตัวที่สมบูรณ์แบบระหว่างวิถีลูกลอยปานกลางและสปินที่ควบคุมได้
  • ผู้เล่นที่ต้องการการให้อภัย: นักกอล์ฟที่มักตีพลาดกลางหน้าไม้ และต้องการก้านที่ช่วยให้ลูกยังคงอยู่ในแฟร์เวย์
  • นักกอล์ฟที่ชอบฟีลลิ่งของก้าน: ผู้เล่นที่ชอบรู้สึกถึงการทำงานของก้าน (การดีดตัว) แต่ก็ยังต้องการผลลัพธ์ที่แน่นอนและสม่ำเสมอ
  • นักกอล์ฟเกือบทุกคน: ดังที่นักทดสอบคนหนึ่งได้สรุปไว้ ก้านนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่เขา “อยากจะแนะนำให้นักกอล์ฟเกือบทุกคนได้ลอง ไม่ว่าคุณจะมีความเร็ว จังหวะ หรือความต้องการเรื่องวิถีลูกแบบไหน”

ตารางสเปก: เลือกรุ่นที่ใช่สำหรับคุณ

Tour AD GC มีน้ำหนักให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 40 กรัมไปจนถึง 80 กรัม เพื่อให้เหมาะกับนักกอล์ฟทุกระดับ ตารางด้านล่างนี้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการเลือกน้ำหนักที่เหมาะสม

Weight Category เหมาะสำหรับ (Best Suited For)
40g - 50g นักกอล์ฟที่มีความเร็วหัวไม้ไม่สูงมากไปจนถึงปานกลาง ต้องการก้านน้ำหนักเบาที่ช่วยให้สร้างความเร็วและรู้สึกถึงการดีดของก้านได้ง่าย
60g เป็นน้ำหนักที่ได้รับความนิยมสูงสุด เหมาะกับนักกอล์ฟสมัครเล่นส่วนใหญ่ที่มีความเร็วหัวไม้ปานกลางไปจนถึงค่อนข้างเร็ว เป็นจุดสมดุลที่ดีระหว่างความเสถียรและความรู้สึก
70g - 80g นักกอล์ฟที่แข็งแรงและมีวงสวิงที่เร็วและดุดัน ที่ต้องการความเสถียรและการควบคุมสูงสุด เพื่อป้องกันลูกกระจาย
ตารางนี้เป็นเพียงแนวทางเริ่มต้นเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการค้นหาก้านที่สมบูรณ์แบบสำหรับวงสวิงของคุณ คือการไปทำฟิตติ้งกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวิเคราะห์วงสวิงและเลือกน้ำหนักรวมถึงความแข็ง (Flex) ที่เหมาะสมที่สุด

บทสรุป: คุ้มค่าสมชื่อ “Game Changer” หรือไม่?

กลับมาที่คำถามสำคัญที่สุด: Graphite Design Tour AD GC คือ “Game Changer” ตัวจริงหรือไม่?

คำตอบคือ “ใช่” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับนักกอล์ฟที่เคยต้องเลือกระหว่างก้านที่ให้ “ความรู้สึก” ดี กับก้านที่ให้ “ผลลัพธ์” ที่ดี

Tour AD GC ได้เปลี่ยนเกมด้วยการพิสูจน์ว่าคุณไม่จำเป็นต้องเลือกอีกต่อไป มันมอบความรู้สึกดีดที่ทรงพลังและสนุกสนาน แต่ซ่อนแกนกลางที่เต็มไปด้วยความเสถียรและความสม่ำเสมออย่างไม่น่าเชื่อ

มันคือก้านที่ให้อภัยสูงมาก ให้วิถีลูกที่ควบคุมง่าย และมอบความรู้สึกพรีเมียมสมกับเป็นผลิตภัณฑ์จาก Graphite Design แม้ราคาจะสูง แต่ประสิทธิภาพและความสามารถรอบด้านที่มันมอบให้ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับนักกอล์ฟที่ต้องการยกระดับความสม่ำเสมอจากแท่นทีออฟอย่างจริงจัง

นี่ไม่ใช่แค่ก้านที่ทำงานได้ดีเมื่อคุณสวิงดี แต่มันยังเป็นก้านที่ช่วยจัดการช็อตที่ผิดพลาดของคุณได้ดีอีกด้วย และนั่นอาจเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ผู้เปลี่ยนเกม” ได้อย่างแท้จริง

สนใจก้านไดรเวอร์ Tour AD GC

ราคา 10,500 บาท สอบถาม, ขอรูปภาพสินค้า สั่งซื้อก้าน Tour AD GC ทักแอดมิน Line ID: @GolfShafts

ตีเท่าไหร่ก็พลาด? มาแก้ ‘เกร็งเกิน’ ในวงสวิงกอล์ฟกัน! (ฉบับ Inner Game)

ตีเท่าไหร่ก็พลาด? มาแก้ ‘เกร็งเกิน’ ในวงสวิงกอล์ฟกัน! (ฉบับ Inner Game)

เวลาออกรอบหรือซ้อมไดรฟ์ ตั้งใจจะตีให้ดี แต่กลับตีแป้ก ตีสไลซ์ ตีฮุค หรือตีไม่โดนลูกซะงั้น? อาการแบบนี้ หลายครั้งเกิดจากสิ่งที่เราเรียกว่า “ความเกร็งตัวมากเกินไป” (Overtightness) นั่นเอง วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องนี้ในมุมมองของ “Inner Game” หรือเกมส์ภายในจิตใจกันครับ รับรองว่าอ่านจบแล้ว วงสวิงเพื่อนๆ อาจจะลื่นไหลขึ้นเยอะเลย! 😉

วิดีโอ: แก้เกร็งวงสวิงกอล์ฟ

เกร็งเกินไป ไม่ใช่แค่เรื่องของการ ‘ออกแรงเยอะ’

หลายคนคิดว่าการเกร็งตัวเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่เราพยายามตีลูกให้ไกลสุดแรงเกิด แต่จริงๆ แล้ว การเกร็งเกินจำเป็นนี่แหละครับ คือตัวการร้ายที่ทำให้เกิดปัญหาฮิตๆ อย่าง:

  • ตีสไลซ์ (Slice) / ตีฮุค (Hook)
  • ตีท็อปหัวลูก (Topped balls)
  • ตีหลังลูก (Fat shots)
  • วงสวิงติดขัด ไม่เต็มวง
  • อาการ “ยิปส์” (Yips) เวลาชิพหรือพัตต์สั้นๆ แล้วมือกระตุก

เคยสังเกตไหมครับว่า ทำไมโปรถึงตีได้ลื่นไหล ดูสบายๆ แต่ได้พลังเยอะมาก ส่วนพวกเราบางทีดูเก้ๆ กังๆ กระตุกๆ นั่นเพราะโปรเขาสามารถใช้กล้ามเนื้อได้ถูกส่วน ถูกจังหวะ ไม่มีการเกร็งเกินจำเป็นนั่นเอง

ทำไม ‘เกร็งเกิน’ ถึงแก้ยาก? สั่งให้ ‘ผ่อนคลาย’ ก็ไม่หาย?

เคยมีคนบอก หรือบอกตัวเองไหมครับว่า “เฮ้ย ผ่อนคลายหน่อย อย่าเกร็ง!” แล้วมันได้ผลไหม? ส่วนใหญ่มักจะยิ่งเกร็งกว่าเดิม! นั่นเพราะว่า:

  1. กล้ามเนื้อไม่เข้าใจภาษาพูด: เราสั่งกล้ามเนื้อเป็นคำพูดไม่ได้โดยตรง
  2. มันซับซ้อนเกินไป: วงสวิงใช้กล้ามเนื้อเป็นพันๆ มัด ทำงานประสานกันอย่างซับซ้อน สมองส่วนคิดวิเคราะห์ของเราควบคุมทั้งหมดไม่ไหวหรอกครับ
  3. การพยายามควบคุมยิ่งทำให้แย่: ยิ่งเราพยายามเข้าไปบังคับทุกส่วนของวงสวิง ร่างกายจะยิ่งต่อต้านและเกร็งมากขึ้น

ต้นตอที่แท้จริง: ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่เป็น ‘ใจ’ ที่สงสัย

Inner Game บอกเราว่า ปัญหาการเกร็งเกินจำเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากความพยายามทางกายภาพอย่างเดียว แต่มาจาก “เกมส์ภายในจิตใจ” ของเราต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกที่เรียกว่า “ความสงสัยในตนเอง” (Self-Doubt)

เคยสังเกตไหมครับว่า เวลาเราไม่มั่นใจในอะไรบางอย่าง เรามักจะเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ? อาร์ชี แมคกิลล์ นักกอล์ฟเก่งคนหนึ่งเคยบอกผู้เขียนไว้ว่า “เมื่อเราเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ เราจะเกร็ง”

ความสงสัยนี่แหละครับที่ทำให้:

  • นักสกีเกร็งตัวบนยอดเขา
  • นักเทนนิสเกร็งเวลาตีแบ็คแฮนด์ยากๆ
  • และนักกอล์ฟอย่างเราเกร็งเวลาพัตต์สั้นๆ หรือต้องตีช็อตสำคัญๆ!

ความสงสัยทำให้เราไม่ไว้ใจ “ตัวตนที่ 2” (Self 2) หรือสัญชาตญาณและความสามารถตามธรรมชาติของร่างกายเรา แล้ว “ตัวตนที่ 1” (Self 1) หรือเสียงในหัวที่คอยสั่ง คอยวิจารณ์ ก็จะเข้ามาพยายามควบคุมแทน ทำให้เกิดการเกร็งเกินจำเป็น

วิธีแก้เกร็งสไตล์ Inner Game: ไม่ใช่การสั่ง แต่คือการ ‘รับรู้’

เมื่อรู้ว่าการสั่งให้ผ่อนคลายไม่ได้ผล แล้วเราจะทำยังไงดี? คำตอบคือ “การเพิ่มการรับรู้” (Awareness) ครับ

  1. รับรู้ความเกร็ง (โดยไม่ตัดสิน): ขั้นแรก ลองสวิงตามปกติ แล้วสังเกตดูว่ารู้สึกเกร็งตรงไหนบ้าง? เกร็งตอนไหน? สำคัญมาก: แค่รับรู้เฉยๆ ไม่ต้องพยายามแก้ไข ไม่ต้องตัดสินว่าดีหรือไม่ดี แค่การรับรู้อย่างมีสตินี่แหละครับ ที่จะช่วยให้ร่างกายเริ่มปรับตัวผ่อนคลายได้เองอย่างน่าทึ่ง!
  2. ลอง ‘ฮัมเพลง’ ไปด้วยสิ!: เทคนิคสนุกๆ ที่ช่วยให้เรารับรู้ความเกร็งได้ชัดขึ้นคือ การฮัมเพลงเบาๆ ไปด้วยขณะสวิง สังเกตดูว่าเสียงฮัมเปลี่ยนไปไหม? มันตึงขึ้น หรือขาดหายไปตอนไหน? เสียงฮัมจะทำหน้าที่เหมือนเครื่อง Biofeedback ช่วยให้เรารู้ตัวว่าเกร็งตอนไหน และร่างกายจะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะสวิงให้ลื่นไหลขึ้นเอง โดยที่เราแค่ ‘ฟัง’ เสียงฮัมของเรา
  3. เกร็งสุด แล้วปล่อยสุด: อีกวิธีที่ช่วยได้คือ ลองจงใจเกร็งกล้ามเนื้อส่วนที่รู้สึกตึง (เช่น ท้อง, ไหล่, แขน) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้สัก 5-10 วินาที แล้วคลายออกทันที ทำซ้ำสัก 2-3 ครั้ง จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้ลึกขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยระบายความหงุดหงิดที่สะสมอยู่ได้ด้วย

สรุป: วงสวิงที่ดี เริ่มที่ใจที่ผ่อนคลาย

ความเกร็งตัวมากเกินไปเป็นปัญหาใหญ่ของนักกอล์ฟหลายคน ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากความสงสัยในตนเอง แทนที่จะพยายามสั่งร่างกายให้ผ่อนคลาย ลองหันมาใช้เทคนิคของ Inner Game คือการ ‘เพิ่มการรับรู้’ ถึงความเกร็ง โดยไม่ต้องตัดสินหรือพยายามแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตความรู้สึกเฉยๆ, การใช้เสียงฮัมเพลงช่วย , หรือการเกร็ง-คลายกล้ามเนื้อ วิธีเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นเองครับ ลองนำไปฝึกซ้อมดูนะครับ แล้ววงสวิงของเพื่อนๆ อาจจะดีขึ้นจนน่าแปลกใจเลยก็ได้! 😊🏌️‍♂️

หลุม 2 Eastern Star (Par 4): หลุม Dogleg สุดท้าทาย กับกรีน 2 ลอน

หลุม 2 Eastern Star (Par 4): หลุม Dogleg สุดท้าทาย กับกรีน 2 ลอน

สวัสดีครับนักกอล์ฟทุกคน กลับมาเจาะลึกสนาม Eastern Star กันต่อที่ หลุม 2 พาร์ 4 ครับ หลุมนี้เป็นหลุม Dogleg หักศอกขวา ที่มีความยาก วัดกันที่ความแม่น และระยะของไดร์ฟจากแท่นที และความยากซ่อนอยู่ที่การตีช็อตสองและบนกรีนครับ

ช็อตแท่นที (Tee Shot)

หลุม 2 เป็นหลุมพาร์ 4 หักศอกไปทางขวา (Dogleg Right) จากภาพ Layout เราจะเห็นอุปสรรคสำคัญคือ “กลุ่มบังเกอร์” ที่ดักอยู่กลางแฟร์เวย์ ที่ระยะแครี่ 220 หลา

กลยุทธ์การตีมี 2 แบบครับ

  • ทางเลือกที่ 1 (ปลอดภัย): ตีตรงไปที่แฟร์เวย์ โดยเล็งให้ลูกอยู่ “ก่อนถึง” หรือ “ทางซ้าย” ของกลุ่มบังเกอร์ (ตามแนวเส้นสีชมพูในภาพ Layout) การตีแบบนี้จะทำให้เราเหลือระยะในช็อตที่สองค่อนข้างไกล (ประมาณ 180-200 หลา) แต่จะได้มุมที่เปิดโล่ง เห็นกรีนชัดเจน และเล่นง่ายครับ
  • ทางเลือกที่ 2 (เสี่ยง): สำหรับนักกอล์ฟที่ตีไกลและแม่นยำ อาจจะลองตี “ตัดข้าม” เส้นสีเขียวแนวต้นมะพร้าวทางขวา เพื่อลัดวงจรไปให้ใกล้กรีนที่สุด แต่ก็เสี่ยงมากครับ ถ้าตีไม่พ้นแนวต้นไม้ หรือลูกมุดขวาไปเลย สกอร์อาจจะเสียหายหนักได้ แต่ถ้าใครมีระยะไดร์ฟแครี่เกิน 230 หลา ก็ลุยได้เลย เพราะจะเหลือระยะขึ้นกรีนช็อตที่สองประมาณ 100-120 หลาเท่านั้น

คำแนะนำ: สำหรับหลุมนี้ การเล่นแบบปลอดภัย สำหรับนักกอล์ฟทั่วไป (ทางเลือกที่ 1) ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ เพราะความยากที่แท้จริงรอเราอยู่ที่กรีน การวางตัวในแฟร์เวย์ที่โล่งๆ จะช่วยให้เราคุมช็อตที่สองได้ง่ายขึ้น

ช็อตที่สอง (The Approach)

นี่คือช็อตสำคัญของหลุมนี้ครับ เมื่อเราดูที่แผนที่ Green Contour (ภาพที่แนบมา) เราจะเห็นความจริงที่น่าตกใจของกรีนนี้

สิ่งที่ต้องเห็น: กรีนนี้แบ่งเป็น 2 ลอนชัดเจนมาก โดยมี “สันเนิน” สูงชันอยู่บริเวณ หน้ากรีนด้านขวา (พื้นที่สีชมพู, แดง, ส้ม)

  • โซนอันตราย (หน้าขวา): พื้นที่สีชมพูและแดง คือเนินสูงชันที่สโลปเทอย่างรุนแรงไปทาง “ซ้าย” ถ้าลูกตกบริเวณนี้ ลูกจะถูกดูดไหลไปทางซ้ายทั้งหมด หรืออาจจะสปินย้อนกลับลงมาหน้ากรีนเลย
  • โซนปลอดภัย (หลังซ้าย): พื้นที่สีเหลือง, เขียว และฟ้า บริเวณ “หลังกรีน” จะเป็นลอนที่ค่อนข้างเรียบกว่า และเป็นที่พักลูกที่ดีที่สุด

จุดออนที่ปลอดภัยที่สุด: เป้าหมายของช็อตสองคือ “ตีให้เลยสันเนิน” ไปตกที่ “กลางกรีน” (โซนสีเขียว/ฟ้า) ครับ

การตี “สั้น” หรือ “ตกหน้าขวา” ในหลุมนี้ จะทำให้การพัตต์ยากมากๆ ดังนั้น ควรเลือกเหล็กให้ “ถึง” หรือ “เลย” ธงไว้ก่อนจะดีที่สุดครับ

Green contour หลุม 2 พาร์ 4 Eastern

แนวทางการพัตต์ 4 ทิศ

กรีนนี้มีความซับซ้อนสูงมาก มาดูไลน์พัตต์จาก 4 ทิศกันครับ

พัตต์จากหน้ากรีน (ล่าง): ถ้าลูกอยู่หน้ากรีน (โซนสีส้ม/แดง) คุณกำลังจะต้องพัตต์ “ขึ้นเนิน” ที่สูงและชันมาก ต้องออกแรงพัตต์ให้หนักแน่นและเผื่อไลน์ให้ดี เพราะลูกจะสู้เนินสุดๆ

พัตต์จากหลังกรีน (บน): ถ้าลูกอยู่โซนสีฟ้า/เขียวด้านหลัง นี่คือตำแหน่งที่ดีครับ ไลน์ส่วนใหญ่จะเป็นการพัตต์ “ลงเนิน” (Downhill) ที่มีความเร็วปานกลาง ไหลเข้าหาหลุม

พัตต์จากด้านขวา (โซนสีชมพู/แดง): นี่คือตำแหน่งที่ยากที่สุดบนกรีน! ลูกศรทั้งหมดชี้ไปทางซ้ายอย่างชัดเจน ไลน์พัตต์จะเป็น “เบรกขวาไปซ้าย” (Right-to-Left) ที่รุนแรงและเร็วมาก ต้องเผื่อไลน์ทางขวาเยอะมากๆ ครับ

พัตต์จากด้านซ้าย (โซนสีเหลือง): จากฝั่งซ้าย ไลน์ส่วนใหญ่จะเป็นการพัตต์ “ขึ้นเนิน” และ “เบรกซ้ายไปขวา” (Left-to-Right) ลูกจะวิ่งช้าและค่อยๆ ไต่กลับขึ้นไปหาลอนบนทางขวาครับ

สรุปสำหรับหลุม 2 คือ เล่นทีช็อตให้ปลอดภัยไว้ก่อน และเน้นตีช็อตสองให้ “เลย” ขึ้นไปอยู่ลอนกลางค่อนไปหลังกรีน แล้วคุณจะมีโอกาสเซฟพาร์ได้ง่ายขึ้นเยอะครับ

ตีกอล์ฟให้ต่ำกว่า 90: ทำยังไงให้เลิกคิดมากในสนาม ด้วยเทคนิค “Back-Hit-Stop”

ตีกอล์ฟให้ต่ำกว่า 90: ทำยังไงให้เลิกคิดมากในสนาม ด้วยเทคนิค “Back-Hit-Stop”

สวัสดีครับเพื่อนๆ นักกอล์ฟ เคยไหมครับที่ตั้งใจจะตีให้ดี อยากจะทำสกอร์ให้ต่ำกว่า 90 แต่พอลงสนามจริงกลับตีไม่ได้อย่างที่ซ้อม? ตีเสียสลับกับตีดี จนสกอร์พุ่งไปไกล ความรู้สึกแบบนี้เป็นกันเยอะครับ ปัญหาส่วนใหญ่มันไม่ได้อยู่ที่วงสวิงอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่ “เกมในใจ” ของเรานี่แหละ

วันนี้เราจะมาคุยกันถึงวิธีจัดการกับความคิดวุ่นวายในสนาม โดยใช้หลักการจากหนังสือดัง “The Inner Game of Golf” โดยเฉพาะเทคนิคที่ชื่อว่า “Back-Hit-Stop” ที่ช่วยให้ผู้เขียนหนังสือลดสกอร์ลงมาต่ำกว่า 90 ได้จริง

ทำไมเราถึงคิดมากในสนามกอล์ฟ?

เคยสังเกตไหมครับว่า เวลาเราตีเสีย เรามักจะคิดวนไปวนมาว่า “เมื่อกี้ทำอะไรผิดนะ?” “แขนงอไปรึเปล่า?” “ขึ้นไม้เร็วไปไหม?” พอช็อตต่อไป ก็พยายามจะ “แก้ไข” สิ่งที่คิดว่าผิด กลายเป็นว่ายิ่งพยายามคุมวงสวิง วงก็ยิ่งเกร็ง ยิ่งไม่เป็นธรรมชาติ

ทิโมธี กัลล์เวย์ ผู้เขียนหนังสือ เรียกสภาวะนี้ว่าเกิดจาก “ตัวตนที่ 1” (Self 1) ของเรา ซึ่งก็คือเสียงในหัวที่คอยสั่ง คอยวิจารณ์ คอยตัดสินตลอดเวลา ส่วน “ตัวตนที่ 2” (Self 2) คือร่างกายและสัญชาตญาณของเรา คนที่ทำหน้าที่ตีลูกกอล์ฟจริงๆ ปัญหาคือ ตัวตนที่ 1 ไม่ค่อยไว้ใจตัวตนที่ 2 เลยพยายามจะควบคุมทุกอย่าง ทำให้ตัวตนที่ 2 ทำงานได้ไม่เต็มที่

ขนาดนักกอล์ฟระดับตำนานอย่าง บ็อบบี้ โจนส์ ยังเคยบอกไว้เลยว่า การจะตีให้ดี ต้องพยายามไม่ให้สมองส่วนคิดมาควบคุมมากเกินไป และต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับผลลัพธ์ (เป้าหมาย) โดยไม่คิดถึงวิธีการตี

แล้วจะหยุดคิดมากได้ยังไง? ลอง “Back-Hit-Stop” ดู!

กัลล์เวย์เจอว่า ในกีฬาเทนนิส การให้นักเรียนพูดคำว่า “Bounce” ตอนลูกกระทบพื้น และ “Hit” ตอนไม้กระทบลูก ช่วยให้นักเรียนมีสมาธิมากขึ้นและตีได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเลยพยายามหาวิธีคล้ายๆ กันสำหรับกีฬากอล์ฟ

ในกีฬากอล์ฟ ลูกกอล์ฟมันอยู่นิ่งๆ ไม่ได้เคลื่อนที่เหมือนลูกเทนนิส การจะจ้องลูกนิ่งๆ นานๆ มันน่าเบื่อและอาจทำให้เครียดกว่าเดิม กัลล์เวย์พบว่า สิ่งที่เคลื่อนที่และสำคัญกว่าในวงสวิงกอล์ฟคือ “หัวไม้” แต่เรามองตามหัวไม้ไม่ได้ เราต้องใช้ “ความรู้สึก” (Feel) แทน

นี่คือที่มาของเทคนิค “Back-Hit-Stop”:

  • “Back” (แบ็ค): ให้พูดคำว่า “แบ็ค” ในใจ (หรือพึมพำเบาๆ) ในจังหวะที่รู้สึกว่า หัวไม้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของแบ็คสวิงพอดี ไม่ต้องกังวลว่ามันถูกตำแหน่งไหม แค่รับรู้ความรู้สึกว่ามันอยู่ตรงนั้น
  • “Hit” (ฮิต): ให้พูดคำว่า “ฮิต” ในจังหวะที่รู้สึกว่า หน้าไม้กระทบลูกพอดี
  • “Stop” (สต็อป): ให้พูดคำว่า “สต็อป” ในจังหวะที่รู้สึกว่า ไม้หยุดนิ่งเมื่อจบวงสวิง (Follow-through)

✅ข้อควรจำ: คำว่า “แบ็ค”, “ฮิต”, “สต็อป” ไม่ใช่คำสั่งให้ร่างกายทำ แต่เป็นแค่ “คำบอกจังหวะ” เพื่อให้เราจดจ่ออยู่กับ ความรู้สึก ของหัวไม้ตลอดวงสวิง การทำแบบนี้จะช่วยให้สมองส่วนคิด (ตัวตนที่ 1) มีอะไรทำ และไม่มายุ่งกับการสวิงของร่างกาย (ตัวตนที่ 2) มากเกินไป

หรือจะลอง “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” ก็ได้นะ
บางคนพอใช้ “Back-Hit-Stop” แล้วเผลอคิดเป็นคำสั่งอยู่ดี (“เอาไม้ขึ้น!”, “ตี!”, “หยุด!”) ถ้าเป็นแบบนั้น ลองเปลี่ยนมาใช้เสียงที่เป็นกลางๆ อย่าง “ดะ” แทนก็ได้ครับ อาจจะแบ่งเป็น 4 จังหวะ:

  • ดะ (จังหวะเริ่มขึ้นไม้ – Takeaway)
  • ดะ (จังหวะที่ไม้ขึ้นสูงสุด – Top of backswing)
  • ดะ (จังหวะที่ไม้กระทบลูก – Impact)
  • ดะ (จังหวะที่ไม้จบวง – Finish)

วิธีนี้จะช่วยให้เราจับ “จังหวะ” (Rhythm) ของวงสวิงได้ดีขึ้นด้วย

หัวใจสำคัญ: โฟกัสที่ “การทำ” ไม่ใช่ “ผลลัพธ์”

ไม่ว่าจะใช้ “Back-Hit-Stop” หรือ “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งใจทำแบบฝึกหัดนี้จริงๆ เป้าหมายของเราคือการฝึกสมาธิ ไม่ใช่การตีให้ดีขึ้น (ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ดีมักจะตามมาเองก็ตาม)

  • ฝึกที่สนามไดรฟ์ก่อน: ลองทำที่สนามไดรฟ์ให้คุ้นเคยก่อนเอาไปใช้ในสนามจริง
  • พูดออกเสียงเบาๆ: ช่วงแรกๆ การพูดออกเสียงเบาๆ จะช่วยให้จับจังหวะได้แม่นขึ้น
  • อย่ามองว่าเป็นเวทมนตร์: เทคนิคนี้ไม่ใช่คาถา ถ้ามันได้ผล ก็เพราะสมาธิเราดีขึ้น ไม่ใช่เพราะตัวคำพูด
  • แค่รับรู้ ไม่ต้องควบคุม: แค่สังเกตและรับรู้จังหวะ ไม่ต้องพยายามบังคับวงสวิง

มีเรื่องเล่าของนักกอล์ฟคนหนึ่งชื่อ ดีน นิมส์ ที่ลองใช้เทคนิคคล้ายๆ กัน (เขาใช้ “Hit-Bounce” คือพูด “Hit” ตอนตี และ “Bounce” ตอนลูกตก) แล้วสกอร์ลดลงจากที่ไม่เคยต่ำกว่า 85 มาเป็น 76 ได้ทันที หรือเด็กผู้หญิง 8 ขวบที่ไม่เคยตีโดนลูกเลย พอได้ลอง “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” ก็ตีโดนทุกลูก แสดงให้เห็นว่าเทคนิคง่ายๆ นี้ช่วยได้จริงๆ ถ้าเราเปิดใจลองทำดู

ตัวผู้เขียนเองก็ใช้เทคนิค “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” นี่แหละครับ เป็นหลักในการฝึกซ้อม (สัปดาห์ละครั้ง) จนสามารถลดสกอร์เฉลี่ยจากประมาณ 95 ลงมาเหลือประมาณ 88 และเริ่มตีต่ำกว่า 90 ได้สำเร็จ

ลองเอาไปใช้ดูนะครับ

ครั้งต่อไปที่ไปซ้อมหรือออกรอบ ลองเอาเทคนิค “Back-Hit-Stop” หรือ “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” ไปใช้ดูนะครับ ตั้งใจทำแบบฝึกหัด มีสมาธิอยู่กับความรู้สึกของหัวไม้และจังหวะของวงสวิง ปล่อยให้ร่างกายทำงานไปตามธรรมชาติ เลิกสั่ง เลิกคิด เลิกวิจารณ์ตัวเองสักพัก แล้วคุณอาจจะแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ เหมือนกับที่หลายๆ คนเคยเจอมาแล้วก็ได้ครับ ขอให้สนุกกับการเล่นกอล์ฟนะครับ!

0
No products in the cart