นี่คือคำถามที่หลายคนเคยสงสัยเวลาเลือกก้านกอล์ฟ ช่างทำไม้กอล์ฟพยายามหาคำตอบนี้มานานแล้ว และในบทความนี้ เราจะพาคุณไปเข้าใจระบบต่างๆ ที่เคยใช้วัดความแข็งของก้าน พร้อมกับแนวทางใหม่ที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
ประวัติการวัดความแข็งของก้าน
แผ่นวัดการโก่งตัว
เมื่อก่อน ช่างไม้กอล์ฟใช้แผ่นวัดการโก่งตัว โดยการหนีบปลายก้าน แล้วแขวนน้ำหนักเพื่อดูว่าก้านโก่งแค่ไหน วิธีนี้ยังถือว่าใช้ได้ดี แต่ปัญหาคือแต่ละบริษัทใช้แผ่นต่างกัน ทำให้ผลลัพธ์เปรียบเทียบกันไม่ได้
ระบบ LARSX และค่าตัวเลข
บริษัทต่างๆ จึงออกระบบชื่อ LARSX ซึ่งหมายถึง:
- L = Ladies
- A = Amateur
- R = Regular
- S = Stiff
- X = Extra Stiff
ต่อมาบริษัท Brunswick พัฒนาระบบตัวเลข เช่น 4.0, 5.0, 6.0 เพื่อใช้แทนความแข็ง แต่ก็ยังไม่มีมาตรฐานชัดเจน
ระบบวัดความถี่ (Shaft Frequency)
ความเป็นมา
Dr. Joe Braly นำเสนอการวัด “ความถี่ของการสั่น” (CPM) เพื่อใช้ประเมินความแข็งของก้าน ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักฟิตติ้ง
ข้อจำกัด
ระบบนี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง โดยเฉพาะเมื่อใช้เปรียบเทียบก้านต่างรุ่น หรือความยาวไม่เท่ากัน และยังมีผลจากแรงหนีบ ความยาวแคลมป์ และน้ำหนักหัวไม้
ความสับสนของป้ายกำกับ
ป้าย S Flex ก็ไม่ได้แปลว่าเหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น ก้าน KBS Tour, C-Taper และ C-Taper Lite ต่างก็ระบุว่า S Flex แต่ความแข็งจริงต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะรุ่น Lite ที่อ่อนกว่าตลอดทั้งก้าน
ระบบตัวเลขของ Project X
แม้ Project X 6.0 และ Project X LZ 6.0 จะมีค่าความถี่ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อดูจากกราฟ EI จะเห็นว่ามีความต่างในช่วงกลางก้าน
สรุป
ไม่มีระบบใดที่ใช้วัดความแข็งของก้านได้แม่นยำทุกแบรนด์หรือทุกรุ่น นักฟิตติ้งจึงยังต้องอาศัยประสบการณ์ส่วนตัวควบคู่กับเครื่องมือช่วยวัด
แนวทางที่น่าเชื่อถือที่สุดในตอนนี้
การวัดพื้นที่ใต้กราฟ EI เป็นแนวทางใหม่ที่แม่นยำ ใช้งานง่าย และสามารถเปรียบเทียบก้านต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ
แนวทางใหม่: พื้นที่ใต้กราฟ EI
หลักการของ Jeff Meyer
Jeff Meyer เสนอวิธีวัดความแข็งโดยใช้ “พื้นที่ใต้กราฟ EI” ซึ่งคำนวณจากค่าความต้านการงอ (EI) ของก้านตามความยาว เมื่อนำค่ามาเฉลี่ยและเปลี่ยนเป็นตัวเลข 2 หลัก ก็สามารถใช้เปรียบเทียบก้านรุ่นต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ข้อดีของระบบ EI
ระบบนี้แสดงความแข็งของก้านทั้งแท่ง ไม่ใช่แค่จุดใดจุดหนึ่ง และใช้วัดได้กับก้านทุกน้ำหนักและความยาว
ตัวอย่าง EI Profile ของ ก้าน ไดรเวอร์ Fujikura Ventus Blue
| พารามิเตอร์ | คำอธิบาย |
|---|---|
| EI Area | พื้นที่ใต้กราฟ EI ซึ่งบ่งบอกโดยรวมว่าก้านแข็งมากน้อยแค่ไหน — ยิ่งตัวเลขสูง แสดงว่าก้านโดยรวมแข็งขึ้น ตัวเลข 14 คืออ่อนสุด 19 แข็งสุดของก้าน Ventus Blue กลุ่มนี้ |
| Deflection LBS. at 4" | ค่าน้ำหนักที่ต้องใช้ในการดันให้ก้านโก่งลง 4 นิ้ว — ยิ่งน้อย แสดงว่าก้านยืดหยุ่นมาก (soft) |
| Tip/Butt Ratio | อัตราส่วนความแข็งระหว่างปลายก้าน (Tip) กับปลายด้าม (Butt) — ถ้าค่าสูง แปลว่าปลายก้าน (Tip) แข็งเมื่อเทียบกับส่วน Butt |
| Tip Torque | ค่าแรงบิดที่ปลายก้าน (Tip) วัดเป็นองศา — ยิ่งต่ำ ก้านยิ่งต้านต่อการบิดได้ดี เหมาะกับนักกอล์ฟสวิงแรงๆ |
| Butt Torque | ค่าแรงบิดที่ปลายด้าม (Butt) วัดเป็นองศา — มีผลต่อสัมผัสและความรู้สึกโดยรวมของก้าน |
| Weight | น้ำหนักก้านโดยรวม วัดเป็นกรัม |
| Balance | จุดสมดุลของก้าน (ระยะจากปลายก้าน) — มีผลต่อความรู้สึกของน้ำหนักหัวไม้เมื่อประกอบก้านเข้ากับหัว |
| Radial Quality | ความสม่ำเสมอของวัสดุรอบก้าน เป็นเปอร์เซ็นต์ — ยิ่งใกล้ 100% ยิ่งคุณภาพดี ใช้ได้ทุกองศา (ไม่ต้องหา spine หรือ FLO) |
วิธีอ่าน Tip/Butt Ratio
ค่าเปอร์เซ็นต์มาก (>60%)
→ ปลายก้าน (Tip) นิ่มกว่า ปลายด้าม (Butt)
→ หมายถึง ปลายอ่อน หรือปลายยืดหยุ่น → ช่วยสร้าง launch สูง / spin มาก
ค่าเปอร์เซ็นต์น้อย (<55%)
→ ปลายก้าน แข็งกว่า หรือใกล้เคียงกับปลายด้าม
→ หมายถึง ปลายแข็ง → ช่วยลด launch และควบคุมทิศทางได้ดี















