ผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับกีฬากอล์ฟที่น่าสนใจมากเล่มหนึ่งชื่อว่า “The Inner Game of Golf” เขียนโดย ทิโมธี กัลล์เวย์ (Timothy Gallwey) ซึ่งเขาดังมาจากการเขียนหนังสือแนว “Inner Game” กับกีฬาเทนนิสมาก่อน พอมาเขียนเรื่องกอล์ฟ ผมว่ามัน “โดนใจ” และน่าจะเข้ากับบริบทของนักกอล์ฟไทยเรามากๆ เลยอยากจะเรียบเรียงบทแรก ที่ชื่อว่า “Golf: The Inner and Outer Challenge” หรือที่ผมขอเรียกว่า “กอล์ฟ: ความท้าทายทั้งเกมข้างนอกและเกมในใจ” มาเล่าสู่กันฟังนะครับ
Podcast
ความท้าทายทั้งเกมข้างนอกและเกมในใจ
ผู้เขียนเริ่มต้นเล่าว่าตัวเขาเองเป็นนักเทนนิสมือฉมังมาทั้งชีวิต พอต้องวางไม้เทนนิสแล้วมาปัดฝุ่นหยิบไม้กอล์ฟที่ไม่ได้จับมา 25 ปี ความรู้สึกมันแตกเป็นสองอย่างเลยครับ
ความตื่นเต้น: เขารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เอาหลักการ “เกมในใจ” (Inner Game) ที่เขาใช้จนสำเร็จในกีฬาเทนนิส มาลองปรับใช้กับกีฬากอล์ฟดู
ความหวั่นใจ: แต่ลึกๆ แล้ว เขาก็อดหวั่นใจไม่ได้ เพราะกิตติศัพท์ของกีฬากอล์ฟนั้นขึ้นชื่อลือชาเรื่อง “ปั่นประสาท” และสร้างอุปสรรคทางใจได้ร้ายกาจที่สุด เขารู้สึกว่ากอล์ฟอาจจะเป็น “เกมอันตราย” สำหรับสภาพจิตใจของเขาเลยทีเดียว
“เกมเดียวในชีวิตที่ผมเอาชนะไม่ได้”
ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ออกรอบครั้งแรกๆ ของเขาที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส เขาได้ร่วมก๊วนกับ ดร. เอฟ (Dr. F.) ซึ่งเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งของแคลิฟอร์เนีย เก่งขนาดที่ผ่าตัดเคสยากๆ ช่วยชีวิตคนมานับไม่ถ้วน
หลุมแรกผ่านไป คุณหมอทำพาร์ได้สบายๆ ดูมั่นใจมาก แต่พอถึงแท่นทีออฟหลุมสอง หลังจากพาร์สวยๆ มา คุณหมอกลับตีไดรเวอร์ลูกออก OB ไปสองลูกติด! เท่านั้นแหละครับ คุณหมอที่สุขุมเยือกเย็นก็ฟาดไม้ไดรเวอร์ลงกับพื้นอย่างหัวเสียแล้วสบถออกมาว่า “นี่มันเป็นเกมบ้าอะไรที่น่าหงุดหงิดที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา!”
ผู้เขียนเลยถามไปซื่อๆ ว่า “แล้วทำไมคุณหมอยังเล่นมันบ่อยจังล่ะครับ”
คุณหมอนิ่งไปพักหนึ่งแล้วตอบกลับมาว่า “เพราะผมเอาชนะมันไม่ได้… ใช่เลย มันเป็นเกมเดียวในชีวิตที่ผมเล่นแล้วเอาชนะไม่ได้!”
ภาพที่คุณหมอเกร็งไปทั้งตัวเวลาต้องพัตต์ลูกแค่ 4 ฟุต มันช่างต่างกับภาพตอนที่คุณหมอถือมีดผ่าตัดในห้องผ่าตัดอย่างสิ้นเชิง การผ่าตัดที่ละเอียดอ่อนและมีชีวิตคนเป็นเดิมพันยังไม่ทำให้คุณหมอประหม่าและหัวเสียได้เท่ากับการพัตต์ลูกกอล์ฟลูกเดียว ผู้เขียนนึกภาพไม่ออกเลยว่าคุณหมอจะขว้างมีดผ่าตัดลงพื้นแล้วด่าตัวเองว่าเป็น “ไอ้เงอะงะ” เหมือนที่ทำในสนามกอล์ฟได้ยังไง
เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนเริ่มเข้าใจว่า ความท้าทายของกอล์ฟมันลึกซึ้งกว่าที่ตาเห็นจริงๆ
ทำไมกอล์ฟถึง “ปั่นประสาท” เราได้ขนาดนี้?
หลังจากเจอประสบการณ์ตรงและเห็นคนเก่งๆ อย่างคุณหมอหลุดฟอร์ม ผู้เขียนก็เริ่มวิเคราะห์ว่าอะไรในกีฬากอล์ฟที่มันจี้จุดอ่อนทางใจของเราได้แม่นขนาดนี้ เขาพบว่ามีอยู่ 5 ปัจจัยหลักๆ ครับ
1. เสน่ห์ของกอล์ฟที่เป็น “กับดัก” เคยเป็นกันมั้ยครับ? วันไหนเล่นไม่ดี หงุดหงิดแทบจะหักไม้ทิ้ง แล้วบอกตัวเองว่า “เลิก! ไม่เล่นแล้วโว้ย!” แต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังทุกที นั่นเพราะใน 18 หลุมที่เละเทะ มันดันมี “ช็อตเทพ” แค่ 2-3 ช็อตที่ทำให้เราฟินสุดๆ เช่น ไดรฟ์ตรงเป๊ะ 280 หลา หรือชิพลงหลุมไปเลย ช็อตดีๆ ไม่กี่ลูกนี่แหละครับที่ทำให้เราลืมความห่วยแตกทั้งหมดแล้วกลับมาพร้อมความหวังใหม่ในรอบหน้า
ที่สำคัญ กอล์ฟเป็นกีฬาที่มือใหม่หัดเล่นก็อาจจะตีช็อตมหัศจรรย์ได้เหมือนโปร วันแรกอาจจะพัตต์ 50 ฟุตลงไปเลยก็ได้ พอทำได้ครั้งหนึ่ง อีโก้เราก็จะพองโต คิดว่า “เฮ้ย เราก็มีแววนะเนี่ย!” แล้วมันก็ทำให้เราตั้งความหวังไว้สูง พอช็อตต่อไปทำไม่ได้ดั่งใจ ก็จะผิดหวังรุนแรงเป็นพิเศษ
2. ความ “เป๊ะ” ที่กอล์ฟต้องการ ในกีฬาเทนนิส ถ้าตีพลาดไปบ้างก็ยังพอแก้ไขได้ ตีลูกออกไป 4 ฟุต ก็ยังอยู่ในคอร์ตข้างๆ แต่ในกีฬากอล์ฟ ความเร็วของหัวไม้ที่สูงกว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมงนั้น ถ้าหน้าไม้เปิดหรือปิดไปแค่องศาเดียว ลูกก็สามารถเลี้ยวออกนอกแฟร์เวย์ไปได้ 40-50 หลาเลย มันแทบไม่มีที่ว่างให้ผิดพลาดเลย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมช็อตเดียวดี อีกช็อตห่วยแตกไปเลยมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
3. ความกดดันรอบตัว เวลาเล่นเทนนิสแพ้ เรายังพออ้างได้ว่า “วันนี้คู่ต่อสู้เล่นดีจริงๆ” แต่ในกีฬากอล์ฟ เรายืนอยู่คนเดียวครับ สกอร์ที่ออกมาคือฝีมือของเราล้วนๆ แถมยังมีเพื่อนร่วมก๊วนอีก 3 คนยืนดูและตัดสินเราอยู่ตลอดเวลา ทุกช็อตมีราคา ทุกสโตรกถูกนับ ไม่มีพลาดแล้วแก้ตัวได้เหมือนเทนนิสที่เสียแต้มแล้วยังกลับมาชนะในเกมนั้นได้ ยิ่งถ้ามีการเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ “เพื่อความสนุก” เข้าไปอีก ความกดดันก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ
4. จังหวะของเกมที่เปิดโอกาสให้ “ฟุ้งซ่าน” นี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดจากกีฬาส่วนใหญ่เลยครับ กีฬาอย่างเทนนิสหรือแบดมินตัน เราต้องเคลื่อนไหวและตอบสนองต่อลูกตลอดเวลา สมองไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น แต่กอล์ฟ… เรามี “เวลาให้คิดเยอะเกินไป”
ช่วงเวลาที่เราเดินจากจุดที่ตีลูกไปยังจุดที่ลูกตกนี่แหละครับคือช่วงอันตรายที่สุด สมองเราจะเริ่มทำงานทันที:
- “เมื่อกี้ตีพลาดอะไรวะเนี่ย?”
- “สงสัยยกไม้ชันไปหน่อย เดี๋ยวช็อตหน้าต้องแบนลง”
- “ทำไมวงมันแข็งๆ เดี๋ยวต้องพยายามตีให้สมูทขึ้น”
- “ถ้าช็อตนี้พลาดอีก สกอร์พังแน่ๆ”
แค่ 2-3 นาทีระหว่างเดินนี่แหละครับ ที่ความคิดลบๆ ความโกรธ ความสงสัย มันก่อตัวขึ้นมาทำลายสมาธิและความมั่นใจของเราจนหมดสิ้นก่อนจะถึงช็อตต่อไปด้วยซ้ำ
5. ความบ้า “ทฤษฎีและเทคนิค” ไม่มีกีฬาไหนอีกแล้วที่มีทฤษฎี, ตำรา, คลิปสอน, และ “ความลับ” ของวงสวิงเยอะเท่ากอล์ฟ นักกอล์ฟทุกคนต่างตามหา “สูตรสำเร็จ” ที่จะทำให้ตีดีได้ทันที พอได้ยินทิปส์ใหม่ๆ มา เช่น “ให้รักษาข้อมือไว้นานขึ้น” แล้วลองทำดู บังเอิญตีดี 2-3 ลูก ก็จะดีใจคิดว่า “เจอแล้ว! เคล็ดลับของข้า!” แต่พอช็อตต่อๆ ไปเริ่มกลับมาห่วยเหมือนเดิม ทิปส์นั้นก็จะถูกโยนทิ้ง แล้วก็เริ่มมองหาทิปส์ใหม่ๆ วนไปไม่รู้จบ
สรุป: กอล์ฟคือเกมแห่ง “การควบคุม”
ผู้เขียนสรุปว่า โดยแก่นแท้แล้ว กอล์ฟคือเกมแห่ง การควบคุม (Control) เราพยายามจะควบคุมร่างกายให้ทำในสิ่งที่เราต้องการ เพื่อที่จะควบคุมลูกกอล์ฟให้ไปในที่ที่เราต้องการ
แต่ปัญหาคือ เรามักจะพยายาม “สั่ง” ร่างกายด้วยสมองส่วนคิดวิเคราะห์มากเกินไป (“เกร็งข้อมือไว้นะ”, “ถ่ายน้ำหนักมาซ้าย”, “แขนซ้ายต้องตรง”) ซึ่งมันไม่ใช่วิธีที่ธรรมชาติสร้างให้ร่างกายทำงาน ยิ่งสั่ง… ยิ่งเกร็ง… ยิ่งพัง
ดังนั้น ความท้าทายที่แท้จริงของกอล์ฟจึงไม่ได้อยู่ที่เกมภายนอก (Outer Game) ซึ่งคือการเอาชนะสนามเพียงอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่ เกมภายใน (Inner Game) ซึ่งก็คือการเอาชนะอุปสรรคในใจของเราเอง ทั้งความสงสัย, ความกลัว, ความโกรธ, และการขาดสมาธิ
ถ้าเราสามารถจัดการกับ “เกมในใจ” ของเราได้ เราก็จะปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของร่างกายออกมา และทำให้การเล่นกอล์ฟสนุกขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อครับ













