ตีเท่าไหร่ก็พลาด? มาแก้ ‘เกร็งเกิน’ ในวงสวิงกอล์ฟกัน! (ฉบับ Inner Game)

ตีเท่าไหร่ก็พลาด? มาแก้ ‘เกร็งเกิน’ ในวงสวิงกอล์ฟกัน! (ฉบับ Inner Game)

เวลาออกรอบหรือซ้อมไดรฟ์ ตั้งใจจะตีให้ดี แต่กลับตีแป้ก ตีสไลซ์ ตีฮุค หรือตีไม่โดนลูกซะงั้น? อาการแบบนี้ หลายครั้งเกิดจากสิ่งที่เราเรียกว่า “ความเกร็งตัวมากเกินไป” (Overtightness) นั่นเอง วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องนี้ในมุมมองของ “Inner Game” หรือเกมส์ภายในจิตใจกันครับ รับรองว่าอ่านจบแล้ว วงสวิงเพื่อนๆ อาจจะลื่นไหลขึ้นเยอะเลย! 😉

วิดีโอ: แก้เกร็งวงสวิงกอล์ฟ

เกร็งเกินไป ไม่ใช่แค่เรื่องของการ ‘ออกแรงเยอะ’

หลายคนคิดว่าการเกร็งตัวเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่เราพยายามตีลูกให้ไกลสุดแรงเกิด แต่จริงๆ แล้ว การเกร็งเกินจำเป็นนี่แหละครับ คือตัวการร้ายที่ทำให้เกิดปัญหาฮิตๆ อย่าง:

  • ตีสไลซ์ (Slice) / ตีฮุค (Hook)
  • ตีท็อปหัวลูก (Topped balls)
  • ตีหลังลูก (Fat shots)
  • วงสวิงติดขัด ไม่เต็มวง
  • อาการ “ยิปส์” (Yips) เวลาชิพหรือพัตต์สั้นๆ แล้วมือกระตุก

เคยสังเกตไหมครับว่า ทำไมโปรถึงตีได้ลื่นไหล ดูสบายๆ แต่ได้พลังเยอะมาก ส่วนพวกเราบางทีดูเก้ๆ กังๆ กระตุกๆ นั่นเพราะโปรเขาสามารถใช้กล้ามเนื้อได้ถูกส่วน ถูกจังหวะ ไม่มีการเกร็งเกินจำเป็นนั่นเอง

ทำไม ‘เกร็งเกิน’ ถึงแก้ยาก? สั่งให้ ‘ผ่อนคลาย’ ก็ไม่หาย?

เคยมีคนบอก หรือบอกตัวเองไหมครับว่า “เฮ้ย ผ่อนคลายหน่อย อย่าเกร็ง!” แล้วมันได้ผลไหม? ส่วนใหญ่มักจะยิ่งเกร็งกว่าเดิม! นั่นเพราะว่า:

  1. กล้ามเนื้อไม่เข้าใจภาษาพูด: เราสั่งกล้ามเนื้อเป็นคำพูดไม่ได้โดยตรง
  2. มันซับซ้อนเกินไป: วงสวิงใช้กล้ามเนื้อเป็นพันๆ มัด ทำงานประสานกันอย่างซับซ้อน สมองส่วนคิดวิเคราะห์ของเราควบคุมทั้งหมดไม่ไหวหรอกครับ
  3. การพยายามควบคุมยิ่งทำให้แย่: ยิ่งเราพยายามเข้าไปบังคับทุกส่วนของวงสวิง ร่างกายจะยิ่งต่อต้านและเกร็งมากขึ้น

ต้นตอที่แท้จริง: ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่เป็น ‘ใจ’ ที่สงสัย

Inner Game บอกเราว่า ปัญหาการเกร็งเกินจำเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากความพยายามทางกายภาพอย่างเดียว แต่มาจาก “เกมส์ภายในจิตใจ” ของเราต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกที่เรียกว่า “ความสงสัยในตนเอง” (Self-Doubt)

เคยสังเกตไหมครับว่า เวลาเราไม่มั่นใจในอะไรบางอย่าง เรามักจะเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ? อาร์ชี แมคกิลล์ นักกอล์ฟเก่งคนหนึ่งเคยบอกผู้เขียนไว้ว่า “เมื่อเราเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ เราจะเกร็ง”

ความสงสัยนี่แหละครับที่ทำให้:

  • นักสกีเกร็งตัวบนยอดเขา
  • นักเทนนิสเกร็งเวลาตีแบ็คแฮนด์ยากๆ
  • และนักกอล์ฟอย่างเราเกร็งเวลาพัตต์สั้นๆ หรือต้องตีช็อตสำคัญๆ!

ความสงสัยทำให้เราไม่ไว้ใจ “ตัวตนที่ 2” (Self 2) หรือสัญชาตญาณและความสามารถตามธรรมชาติของร่างกายเรา แล้ว “ตัวตนที่ 1” (Self 1) หรือเสียงในหัวที่คอยสั่ง คอยวิจารณ์ ก็จะเข้ามาพยายามควบคุมแทน ทำให้เกิดการเกร็งเกินจำเป็น

วิธีแก้เกร็งสไตล์ Inner Game: ไม่ใช่การสั่ง แต่คือการ ‘รับรู้’

เมื่อรู้ว่าการสั่งให้ผ่อนคลายไม่ได้ผล แล้วเราจะทำยังไงดี? คำตอบคือ “การเพิ่มการรับรู้” (Awareness) ครับ

  1. รับรู้ความเกร็ง (โดยไม่ตัดสิน): ขั้นแรก ลองสวิงตามปกติ แล้วสังเกตดูว่ารู้สึกเกร็งตรงไหนบ้าง? เกร็งตอนไหน? สำคัญมาก: แค่รับรู้เฉยๆ ไม่ต้องพยายามแก้ไข ไม่ต้องตัดสินว่าดีหรือไม่ดี แค่การรับรู้อย่างมีสตินี่แหละครับ ที่จะช่วยให้ร่างกายเริ่มปรับตัวผ่อนคลายได้เองอย่างน่าทึ่ง!
  2. ลอง ‘ฮัมเพลง’ ไปด้วยสิ!: เทคนิคสนุกๆ ที่ช่วยให้เรารับรู้ความเกร็งได้ชัดขึ้นคือ การฮัมเพลงเบาๆ ไปด้วยขณะสวิง สังเกตดูว่าเสียงฮัมเปลี่ยนไปไหม? มันตึงขึ้น หรือขาดหายไปตอนไหน? เสียงฮัมจะทำหน้าที่เหมือนเครื่อง Biofeedback ช่วยให้เรารู้ตัวว่าเกร็งตอนไหน และร่างกายจะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะสวิงให้ลื่นไหลขึ้นเอง โดยที่เราแค่ ‘ฟัง’ เสียงฮัมของเรา
  3. เกร็งสุด แล้วปล่อยสุด: อีกวิธีที่ช่วยได้คือ ลองจงใจเกร็งกล้ามเนื้อส่วนที่รู้สึกตึง (เช่น ท้อง, ไหล่, แขน) ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้สัก 5-10 วินาที แล้วคลายออกทันที ทำซ้ำสัก 2-3 ครั้ง จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้ลึกขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยระบายความหงุดหงิดที่สะสมอยู่ได้ด้วย

สรุป: วงสวิงที่ดี เริ่มที่ใจที่ผ่อนคลาย

ความเกร็งตัวมากเกินไปเป็นปัญหาใหญ่ของนักกอล์ฟหลายคน ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากความสงสัยในตนเอง แทนที่จะพยายามสั่งร่างกายให้ผ่อนคลาย ลองหันมาใช้เทคนิคของ Inner Game คือการ ‘เพิ่มการรับรู้’ ถึงความเกร็ง โดยไม่ต้องตัดสินหรือพยายามแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตความรู้สึกเฉยๆ, การใช้เสียงฮัมเพลงช่วย , หรือการเกร็ง-คลายกล้ามเนื้อ วิธีเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายและเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นเองครับ ลองนำไปฝึกซ้อมดูนะครับ แล้ววงสวิงของเพื่อนๆ อาจจะดีขึ้นจนน่าแปลกใจเลยก็ได้! 😊🏌️‍♂️

ตีกอล์ฟให้ต่ำกว่า 90: ทำยังไงให้เลิกคิดมากในสนาม ด้วยเทคนิค “Back-Hit-Stop”

ตีกอล์ฟให้ต่ำกว่า 90: ทำยังไงให้เลิกคิดมากในสนาม ด้วยเทคนิค “Back-Hit-Stop”

สวัสดีครับเพื่อนๆ นักกอล์ฟ เคยไหมครับที่ตั้งใจจะตีให้ดี อยากจะทำสกอร์ให้ต่ำกว่า 90 แต่พอลงสนามจริงกลับตีไม่ได้อย่างที่ซ้อม? ตีเสียสลับกับตีดี จนสกอร์พุ่งไปไกล ความรู้สึกแบบนี้เป็นกันเยอะครับ ปัญหาส่วนใหญ่มันไม่ได้อยู่ที่วงสวิงอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่ “เกมในใจ” ของเรานี่แหละ

วันนี้เราจะมาคุยกันถึงวิธีจัดการกับความคิดวุ่นวายในสนาม โดยใช้หลักการจากหนังสือดัง “The Inner Game of Golf” โดยเฉพาะเทคนิคที่ชื่อว่า “Back-Hit-Stop” ที่ช่วยให้ผู้เขียนหนังสือลดสกอร์ลงมาต่ำกว่า 90 ได้จริง

ทำไมเราถึงคิดมากในสนามกอล์ฟ?

เคยสังเกตไหมครับว่า เวลาเราตีเสีย เรามักจะคิดวนไปวนมาว่า “เมื่อกี้ทำอะไรผิดนะ?” “แขนงอไปรึเปล่า?” “ขึ้นไม้เร็วไปไหม?” พอช็อตต่อไป ก็พยายามจะ “แก้ไข” สิ่งที่คิดว่าผิด กลายเป็นว่ายิ่งพยายามคุมวงสวิง วงก็ยิ่งเกร็ง ยิ่งไม่เป็นธรรมชาติ

ทิโมธี กัลล์เวย์ ผู้เขียนหนังสือ เรียกสภาวะนี้ว่าเกิดจาก “ตัวตนที่ 1” (Self 1) ของเรา ซึ่งก็คือเสียงในหัวที่คอยสั่ง คอยวิจารณ์ คอยตัดสินตลอดเวลา ส่วน “ตัวตนที่ 2” (Self 2) คือร่างกายและสัญชาตญาณของเรา คนที่ทำหน้าที่ตีลูกกอล์ฟจริงๆ ปัญหาคือ ตัวตนที่ 1 ไม่ค่อยไว้ใจตัวตนที่ 2 เลยพยายามจะควบคุมทุกอย่าง ทำให้ตัวตนที่ 2 ทำงานได้ไม่เต็มที่

ขนาดนักกอล์ฟระดับตำนานอย่าง บ็อบบี้ โจนส์ ยังเคยบอกไว้เลยว่า การจะตีให้ดี ต้องพยายามไม่ให้สมองส่วนคิดมาควบคุมมากเกินไป และต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับผลลัพธ์ (เป้าหมาย) โดยไม่คิดถึงวิธีการตี

แล้วจะหยุดคิดมากได้ยังไง? ลอง “Back-Hit-Stop” ดู!

กัลล์เวย์เจอว่า ในกีฬาเทนนิส การให้นักเรียนพูดคำว่า “Bounce” ตอนลูกกระทบพื้น และ “Hit” ตอนไม้กระทบลูก ช่วยให้นักเรียนมีสมาธิมากขึ้นและตีได้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเลยพยายามหาวิธีคล้ายๆ กันสำหรับกีฬากอล์ฟ

ในกีฬากอล์ฟ ลูกกอล์ฟมันอยู่นิ่งๆ ไม่ได้เคลื่อนที่เหมือนลูกเทนนิส การจะจ้องลูกนิ่งๆ นานๆ มันน่าเบื่อและอาจทำให้เครียดกว่าเดิม กัลล์เวย์พบว่า สิ่งที่เคลื่อนที่และสำคัญกว่าในวงสวิงกอล์ฟคือ “หัวไม้” แต่เรามองตามหัวไม้ไม่ได้ เราต้องใช้ “ความรู้สึก” (Feel) แทน

นี่คือที่มาของเทคนิค “Back-Hit-Stop”:

  • “Back” (แบ็ค): ให้พูดคำว่า “แบ็ค” ในใจ (หรือพึมพำเบาๆ) ในจังหวะที่รู้สึกว่า หัวไม้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของแบ็คสวิงพอดี ไม่ต้องกังวลว่ามันถูกตำแหน่งไหม แค่รับรู้ความรู้สึกว่ามันอยู่ตรงนั้น
  • “Hit” (ฮิต): ให้พูดคำว่า “ฮิต” ในจังหวะที่รู้สึกว่า หน้าไม้กระทบลูกพอดี
  • “Stop” (สต็อป): ให้พูดคำว่า “สต็อป” ในจังหวะที่รู้สึกว่า ไม้หยุดนิ่งเมื่อจบวงสวิง (Follow-through)

✅ข้อควรจำ: คำว่า “แบ็ค”, “ฮิต”, “สต็อป” ไม่ใช่คำสั่งให้ร่างกายทำ แต่เป็นแค่ “คำบอกจังหวะ” เพื่อให้เราจดจ่ออยู่กับ ความรู้สึก ของหัวไม้ตลอดวงสวิง การทำแบบนี้จะช่วยให้สมองส่วนคิด (ตัวตนที่ 1) มีอะไรทำ และไม่มายุ่งกับการสวิงของร่างกาย (ตัวตนที่ 2) มากเกินไป

หรือจะลอง “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” ก็ได้นะ
บางคนพอใช้ “Back-Hit-Stop” แล้วเผลอคิดเป็นคำสั่งอยู่ดี (“เอาไม้ขึ้น!”, “ตี!”, “หยุด!”) ถ้าเป็นแบบนั้น ลองเปลี่ยนมาใช้เสียงที่เป็นกลางๆ อย่าง “ดะ” แทนก็ได้ครับ อาจจะแบ่งเป็น 4 จังหวะ:

  • ดะ (จังหวะเริ่มขึ้นไม้ – Takeaway)
  • ดะ (จังหวะที่ไม้ขึ้นสูงสุด – Top of backswing)
  • ดะ (จังหวะที่ไม้กระทบลูก – Impact)
  • ดะ (จังหวะที่ไม้จบวง – Finish)

วิธีนี้จะช่วยให้เราจับ “จังหวะ” (Rhythm) ของวงสวิงได้ดีขึ้นด้วย

หัวใจสำคัญ: โฟกัสที่ “การทำ” ไม่ใช่ “ผลลัพธ์”

ไม่ว่าจะใช้ “Back-Hit-Stop” หรือ “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งใจทำแบบฝึกหัดนี้จริงๆ เป้าหมายของเราคือการฝึกสมาธิ ไม่ใช่การตีให้ดีขึ้น (ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่ดีมักจะตามมาเองก็ตาม)

  • ฝึกที่สนามไดรฟ์ก่อน: ลองทำที่สนามไดรฟ์ให้คุ้นเคยก่อนเอาไปใช้ในสนามจริง
  • พูดออกเสียงเบาๆ: ช่วงแรกๆ การพูดออกเสียงเบาๆ จะช่วยให้จับจังหวะได้แม่นขึ้น
  • อย่ามองว่าเป็นเวทมนตร์: เทคนิคนี้ไม่ใช่คาถา ถ้ามันได้ผล ก็เพราะสมาธิเราดีขึ้น ไม่ใช่เพราะตัวคำพูด
  • แค่รับรู้ ไม่ต้องควบคุม: แค่สังเกตและรับรู้จังหวะ ไม่ต้องพยายามบังคับวงสวิง

มีเรื่องเล่าของนักกอล์ฟคนหนึ่งชื่อ ดีน นิมส์ ที่ลองใช้เทคนิคคล้ายๆ กัน (เขาใช้ “Hit-Bounce” คือพูด “Hit” ตอนตี และ “Bounce” ตอนลูกตก) แล้วสกอร์ลดลงจากที่ไม่เคยต่ำกว่า 85 มาเป็น 76 ได้ทันที หรือเด็กผู้หญิง 8 ขวบที่ไม่เคยตีโดนลูกเลย พอได้ลอง “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” ก็ตีโดนทุกลูก แสดงให้เห็นว่าเทคนิคง่ายๆ นี้ช่วยได้จริงๆ ถ้าเราเปิดใจลองทำดู

ตัวผู้เขียนเองก็ใช้เทคนิค “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” นี่แหละครับ เป็นหลักในการฝึกซ้อม (สัปดาห์ละครั้ง) จนสามารถลดสกอร์เฉลี่ยจากประมาณ 95 ลงมาเหลือประมาณ 88 และเริ่มตีต่ำกว่า 90 ได้สำเร็จ

ลองเอาไปใช้ดูนะครับ

ครั้งต่อไปที่ไปซ้อมหรือออกรอบ ลองเอาเทคนิค “Back-Hit-Stop” หรือ “ดะ-ดะ-ดะ-ดะ” ไปใช้ดูนะครับ ตั้งใจทำแบบฝึกหัด มีสมาธิอยู่กับความรู้สึกของหัวไม้และจังหวะของวงสวิง ปล่อยให้ร่างกายทำงานไปตามธรรมชาติ เลิกสั่ง เลิกคิด เลิกวิจารณ์ตัวเองสักพัก แล้วคุณอาจจะแปลกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ เหมือนกับที่หลายๆ คนเคยเจอมาแล้วก็ได้ครับ ขอให้สนุกกับการเล่นกอล์ฟนะครับ!

ทำไมกอล์ฟถึง “ปั่นประสาท”? ถอดบทเรียน “The Inner Game of Golf” เกมในใจที่นักกอล์ฟต้องรู้

ทำไมกอล์ฟถึง “ปั่นประสาท”? ถอดบทเรียน “The Inner Game of Golf” เกมในใจที่นักกอล์ฟต้องรู้

ผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับกีฬากอล์ฟที่น่าสนใจมากเล่มหนึ่งชื่อว่า “The Inner Game of Golf” เขียนโดย ทิโมธี กัลล์เวย์ (Timothy Gallwey) ซึ่งเขาดังมาจากการเขียนหนังสือแนว “Inner Game” กับกีฬาเทนนิสมาก่อน พอมาเขียนเรื่องกอล์ฟ ผมว่ามัน “โดนใจ” และน่าจะเข้ากับบริบทของนักกอล์ฟไทยเรามากๆ เลยอยากจะเรียบเรียงบทแรก ที่ชื่อว่า “Golf: The Inner and Outer Challenge” หรือที่ผมขอเรียกว่า “กอล์ฟ: ความท้าทายทั้งเกมข้างนอกและเกมในใจ” มาเล่าสู่กันฟังนะครับ

Podcast

ความท้าทายทั้งเกมข้างนอกและเกมในใจ

ผู้เขียนเริ่มต้นเล่าว่าตัวเขาเองเป็นนักเทนนิสมือฉมังมาทั้งชีวิต พอต้องวางไม้เทนนิสแล้วมาปัดฝุ่นหยิบไม้กอล์ฟที่ไม่ได้จับมา 25 ปี ความรู้สึกมันแตกเป็นสองอย่างเลยครับ

ความตื่นเต้น: เขารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เอาหลักการ “เกมในใจ” (Inner Game) ที่เขาใช้จนสำเร็จในกีฬาเทนนิส มาลองปรับใช้กับกีฬากอล์ฟดู

ความหวั่นใจ: แต่ลึกๆ แล้ว เขาก็อดหวั่นใจไม่ได้ เพราะกิตติศัพท์ของกีฬากอล์ฟนั้นขึ้นชื่อลือชาเรื่อง “ปั่นประสาท” และสร้างอุปสรรคทางใจได้ร้ายกาจที่สุด เขารู้สึกว่ากอล์ฟอาจจะเป็น “เกมอันตราย” สำหรับสภาพจิตใจของเขาเลยทีเดียว

“เกมเดียวในชีวิตที่ผมเอาชนะไม่ได้”
ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ออกรอบครั้งแรกๆ ของเขาที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในลอสแองเจลิส เขาได้ร่วมก๊วนกับ ดร. เอฟ (Dr. F.) ซึ่งเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งของแคลิฟอร์เนีย เก่งขนาดที่ผ่าตัดเคสยากๆ ช่วยชีวิตคนมานับไม่ถ้วน

หลุมแรกผ่านไป คุณหมอทำพาร์ได้สบายๆ ดูมั่นใจมาก แต่พอถึงแท่นทีออฟหลุมสอง หลังจากพาร์สวยๆ มา คุณหมอกลับตีไดรเวอร์ลูกออก OB ไปสองลูกติด! เท่านั้นแหละครับ คุณหมอที่สุขุมเยือกเย็นก็ฟาดไม้ไดรเวอร์ลงกับพื้นอย่างหัวเสียแล้วสบถออกมาว่า “นี่มันเป็นเกมบ้าอะไรที่น่าหงุดหงิดที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา!”

ผู้เขียนเลยถามไปซื่อๆ ว่า “แล้วทำไมคุณหมอยังเล่นมันบ่อยจังล่ะครับ”

คุณหมอนิ่งไปพักหนึ่งแล้วตอบกลับมาว่า “เพราะผมเอาชนะมันไม่ได้… ใช่เลย มันเป็นเกมเดียวในชีวิตที่ผมเล่นแล้วเอาชนะไม่ได้!”

ภาพที่คุณหมอเกร็งไปทั้งตัวเวลาต้องพัตต์ลูกแค่ 4 ฟุต มันช่างต่างกับภาพตอนที่คุณหมอถือมีดผ่าตัดในห้องผ่าตัดอย่างสิ้นเชิง การผ่าตัดที่ละเอียดอ่อนและมีชีวิตคนเป็นเดิมพันยังไม่ทำให้คุณหมอประหม่าและหัวเสียได้เท่ากับการพัตต์ลูกกอล์ฟลูกเดียว ผู้เขียนนึกภาพไม่ออกเลยว่าคุณหมอจะขว้างมีดผ่าตัดลงพื้นแล้วด่าตัวเองว่าเป็น “ไอ้เงอะงะ” เหมือนที่ทำในสนามกอล์ฟได้ยังไง

เรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนเริ่มเข้าใจว่า ความท้าทายของกอล์ฟมันลึกซึ้งกว่าที่ตาเห็นจริงๆ

ทำไมกอล์ฟถึง “ปั่นประสาท” เราได้ขนาดนี้?

หลังจากเจอประสบการณ์ตรงและเห็นคนเก่งๆ อย่างคุณหมอหลุดฟอร์ม ผู้เขียนก็เริ่มวิเคราะห์ว่าอะไรในกีฬากอล์ฟที่มันจี้จุดอ่อนทางใจของเราได้แม่นขนาดนี้ เขาพบว่ามีอยู่ 5 ปัจจัยหลักๆ ครับ

1. เสน่ห์ของกอล์ฟที่เป็น “กับดัก” เคยเป็นกันมั้ยครับ? วันไหนเล่นไม่ดี หงุดหงิดแทบจะหักไม้ทิ้ง แล้วบอกตัวเองว่า “เลิก! ไม่เล่นแล้วโว้ย!” แต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังทุกที นั่นเพราะใน 18 หลุมที่เละเทะ มันดันมี “ช็อตเทพ” แค่ 2-3 ช็อตที่ทำให้เราฟินสุดๆ เช่น ไดรฟ์ตรงเป๊ะ 280 หลา หรือชิพลงหลุมไปเลย ช็อตดีๆ ไม่กี่ลูกนี่แหละครับที่ทำให้เราลืมความห่วยแตกทั้งหมดแล้วกลับมาพร้อมความหวังใหม่ในรอบหน้า

ที่สำคัญ กอล์ฟเป็นกีฬาที่มือใหม่หัดเล่นก็อาจจะตีช็อตมหัศจรรย์ได้เหมือนโปร วันแรกอาจจะพัตต์ 50 ฟุตลงไปเลยก็ได้ พอทำได้ครั้งหนึ่ง อีโก้เราก็จะพองโต คิดว่า “เฮ้ย เราก็มีแววนะเนี่ย!” แล้วมันก็ทำให้เราตั้งความหวังไว้สูง พอช็อตต่อไปทำไม่ได้ดั่งใจ ก็จะผิดหวังรุนแรงเป็นพิเศษ

2. ความ “เป๊ะ” ที่กอล์ฟต้องการ ในกีฬาเทนนิส ถ้าตีพลาดไปบ้างก็ยังพอแก้ไขได้ ตีลูกออกไป 4 ฟุต ก็ยังอยู่ในคอร์ตข้างๆ แต่ในกีฬากอล์ฟ ความเร็วของหัวไม้ที่สูงกว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมงนั้น ถ้าหน้าไม้เปิดหรือปิดไปแค่องศาเดียว ลูกก็สามารถเลี้ยวออกนอกแฟร์เวย์ไปได้ 40-50 หลาเลย มันแทบไม่มีที่ว่างให้ผิดพลาดเลย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมช็อตเดียวดี อีกช็อตห่วยแตกไปเลยมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

3. ความกดดันรอบตัว เวลาเล่นเทนนิสแพ้ เรายังพออ้างได้ว่า “วันนี้คู่ต่อสู้เล่นดีจริงๆ” แต่ในกีฬากอล์ฟ เรายืนอยู่คนเดียวครับ สกอร์ที่ออกมาคือฝีมือของเราล้วนๆ แถมยังมีเพื่อนร่วมก๊วนอีก 3 คนยืนดูและตัดสินเราอยู่ตลอดเวลา ทุกช็อตมีราคา ทุกสโตรกถูกนับ ไม่มีพลาดแล้วแก้ตัวได้เหมือนเทนนิสที่เสียแต้มแล้วยังกลับมาชนะในเกมนั้นได้ ยิ่งถ้ามีการเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ “เพื่อความสนุก” เข้าไปอีก ความกดดันก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ

4. จังหวะของเกมที่เปิดโอกาสให้ “ฟุ้งซ่าน” นี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดจากกีฬาส่วนใหญ่เลยครับ กีฬาอย่างเทนนิสหรือแบดมินตัน เราต้องเคลื่อนไหวและตอบสนองต่อลูกตลอดเวลา สมองไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น แต่กอล์ฟ… เรามี “เวลาให้คิดเยอะเกินไป”

ช่วงเวลาที่เราเดินจากจุดที่ตีลูกไปยังจุดที่ลูกตกนี่แหละครับคือช่วงอันตรายที่สุด สมองเราจะเริ่มทำงานทันที:

  • “เมื่อกี้ตีพลาดอะไรวะเนี่ย?”
  • “สงสัยยกไม้ชันไปหน่อย เดี๋ยวช็อตหน้าต้องแบนลง”
  • “ทำไมวงมันแข็งๆ เดี๋ยวต้องพยายามตีให้สมูทขึ้น”
  • “ถ้าช็อตนี้พลาดอีก สกอร์พังแน่ๆ”

แค่ 2-3 นาทีระหว่างเดินนี่แหละครับ ที่ความคิดลบๆ ความโกรธ ความสงสัย มันก่อตัวขึ้นมาทำลายสมาธิและความมั่นใจของเราจนหมดสิ้นก่อนจะถึงช็อตต่อไปด้วยซ้ำ

5. ความบ้า “ทฤษฎีและเทคนิค” ไม่มีกีฬาไหนอีกแล้วที่มีทฤษฎี, ตำรา, คลิปสอน, และ “ความลับ” ของวงสวิงเยอะเท่ากอล์ฟ นักกอล์ฟทุกคนต่างตามหา “สูตรสำเร็จ” ที่จะทำให้ตีดีได้ทันที พอได้ยินทิปส์ใหม่ๆ มา เช่น “ให้รักษาข้อมือไว้นานขึ้น” แล้วลองทำดู บังเอิญตีดี 2-3 ลูก ก็จะดีใจคิดว่า “เจอแล้ว! เคล็ดลับของข้า!” แต่พอช็อตต่อๆ ไปเริ่มกลับมาห่วยเหมือนเดิม ทิปส์นั้นก็จะถูกโยนทิ้ง แล้วก็เริ่มมองหาทิปส์ใหม่ๆ วนไปไม่รู้จบ

สรุป: กอล์ฟคือเกมแห่ง “การควบคุม”

ผู้เขียนสรุปว่า โดยแก่นแท้แล้ว กอล์ฟคือเกมแห่ง การควบคุม (Control) เราพยายามจะควบคุมร่างกายให้ทำในสิ่งที่เราต้องการ เพื่อที่จะควบคุมลูกกอล์ฟให้ไปในที่ที่เราต้องการ

แต่ปัญหาคือ เรามักจะพยายาม “สั่ง” ร่างกายด้วยสมองส่วนคิดวิเคราะห์มากเกินไป (“เกร็งข้อมือไว้นะ”, “ถ่ายน้ำหนักมาซ้าย”, “แขนซ้ายต้องตรง”) ซึ่งมันไม่ใช่วิธีที่ธรรมชาติสร้างให้ร่างกายทำงาน ยิ่งสั่ง… ยิ่งเกร็ง… ยิ่งพัง

ดังนั้น ความท้าทายที่แท้จริงของกอล์ฟจึงไม่ได้อยู่ที่เกมภายนอก (Outer Game) ซึ่งคือการเอาชนะสนามเพียงอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่ เกมภายใน (Inner Game) ซึ่งก็คือการเอาชนะอุปสรรคในใจของเราเอง ทั้งความสงสัย, ความกลัว, ความโกรธ, และการขาดสมาธิ

ถ้าเราสามารถจัดการกับ “เกมในใจ” ของเราได้ เราก็จะปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของร่างกายออกมา และทำให้การเล่นกอล์ฟสนุกขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อครับ

0
No products in the cart